วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
หัวข้อโครงงาน : วัดพระธาตุดอยม่วงคำ ลำปาง
หัวข้อโครงงาน : วัดพระธาตุดอยม่วงคำ ลำปาง
ประเภทของโครงงาน :
โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ผู้เสนอโครงงาน : ด.ญ.เบญญาภา
อินนั่งแท่น
ครูที่ปรึกษาโครงงาน : นาย พร้อมพงษ์ แปงเครือ
ปีการศึกษา : 2556
บทคัดย่อ
การจัดทำโครงงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับประวัติของวัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ลำปาง วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ตั้งอยู่ที่บ้านแม่ทะ หมู่ 1 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง ประมาณ 17
กิโลเมตร ซึ่งมีบันไดขึ้นที่ชันมาก ประมาณ 484 ขั้น และถ้าขึ้นไปชั้นสูงสุดจะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก
ก่อนจะถึงบันไดชั้นสูงสุดจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่นอนอยู่ที่ศาลา
ซึ่งเป็นที่สักการะของผู้ที่มาเที่ยววัดดอยม่วงคำ
วัดพระธาตุม่วงคำ หรือเรียกว่า
วัดดอยม่วงคำ ตำบลกล้วยแพะ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นวัดชั้นราษฎร์
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่วัด 13 ไร่
2 งาน เดิมพื้นที่วัดเป็นป่าเขา
ต่อมามีการค้นพบฐานเจดีย์เก่าซึ่งสอดคล้องในตำนานหมาขนคำของคนโบราณ พระครูรัตนโสภณ
(หลวงพ่ออิ่น) อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ทะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเมืองศาสน์ ร่วมกับ
หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดลำปางได้ทำการสร้างวัดขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2468 และได้รับความอุปถัมภ์สมณะศรัทธา เช่น
พระครูสุเวทกิตติคุณ (หลวงปู่บุญชุบ)
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานนี้สำเร็จขึ้นได้ด้วยความกรุณาของคณะอาจารย์หมวดคอมพิวเตอร์
โรงเรียนลำปางกัลยาณี ซึ่งได้ให้คำปรึกษาข้อชี้แนะและความช่วยเหลือจนกระทั่งโครงงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาที่ให้ความกรุณาในการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆของโครงงาน
และให้ความรู้ ให้คำแนะนำทั้งให้กำลังใจ
ท้ายสุดนี้ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
โครงงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาการและเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้สนใจต่อไป ถ้าโครงงานเล่มนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
ด.ญ.เบญญาภา อินนั่งแท่น
ม.3/3 เลขที่ 20
ผู้เสนอโครงงาน : ด.ญ.เบญญาภา
อินนั่งแท่น
ครูที่ปรึกษาโครงงาน : นาย พร้อมพงษ์ แปงเครือ
ปีการศึกษา : 2556
บทคัดย่อ
การจัดทำโครงงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับประวัติของวัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ลำปาง วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ตั้งอยู่ที่บ้านแม่ทะ หมู่ 1 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง ประมาณ 17
กิโลเมตร ซึ่งมีบันไดขึ้นที่ชันมาก ประมาณ 484 ขั้น และถ้าขึ้นไปชั้นสูงสุดจะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก
ก่อนจะถึงบันไดชั้นสูงสุดจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่นอนอยู่ที่ศาลา
ซึ่งเป็นที่สักการะของผู้ที่มาเที่ยววัดดอยม่วงคำ
วัดพระธาตุม่วงคำ หรือเรียกว่า
วัดดอยม่วงคำ ตำบลกล้วยแพะ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นวัดชั้นราษฎร์
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่วัด 13 ไร่
2 งาน เดิมพื้นที่วัดเป็นป่าเขา
ต่อมามีการค้นพบฐานเจดีย์เก่าซึ่งสอดคล้องในตำนานหมาขนคำของคนโบราณ พระครูรัตนโสภณ
(หลวงพ่ออิ่น) อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ทะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเมืองศาสน์ ร่วมกับ
หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดลำปางได้ทำการสร้างวัดขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2468 และได้รับความอุปถัมภ์สมณะศรัทธา เช่น
พระครูสุเวทกิตติคุณ (หลวงปู่บุญชุบ)
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานนี้สำเร็จขึ้นได้ด้วยความกรุณาของคณะอาจารย์หมวดคอมพิวเตอร์
โรงเรียนลำปางกัลยาณี ซึ่งได้ให้คำปรึกษาข้อชี้แนะและความช่วยเหลือจนกระทั่งโครงงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาที่ให้ความกรุณาในการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆของโครงงาน
และให้ความรู้ ให้คำแนะนำทั้งให้กำลังใจ
ท้ายสุดนี้ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
โครงงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาการและเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้สนใจต่อไป ถ้าโครงงานเล่มนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
ด.ญ.เบญญาภา อินนั่งแท่น
ม.3/3 เลขที่ 20
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
โครงงานนี้ได้มีที่มาและความสำคัญจากการที่
ผู้จัดทำได้ไปศึกษา ประวัติของ วัดพระธาตุดอยม่วงคำ ซึ่งผู้จัดทำได้เห็น
ความสำคัญของวัดพระธาตุดอยม่วงคำ ว่ามีการก่อตั้งมานานหลายปี
แต่ยังไม่สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่า
ผู้จัดทำจึงมีจุดประสงค์ที่จะไปศึกษาเกี่ยวกับ ประวัติของวัดพระธาตุดอยม่วงคำแห่งนี้เพื่อให้ได้
ความรู้เกี่ยวกับวัดพระธาตุดอยม่วงคำ มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดทำจึงได้จัดทำโครงงาน เรื่องวัดพระธาตุดอยม่วงคำ นี้ขึ้น
วัตถุประสงค์
1. สามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้
2. เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.มีผู้สนใจมีความเข้าใจเกี่ยวกับวัดพระธาตุดอยม่วงคำ
2.ทำให้คนรุ่นหลังได้รับความรู้เกี่ยวกับวัดพระธาตุดอยม่วงคำ
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
ตั้งอยู่ที่บ้านแม่ทะ หมู่ 1 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ
จ.ลำปาง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง ประมาณ 17 กิโลเมตร
ซึ่งมีบันไดขึ้นที่ชันมาก ประมาณ 484 ขั้น
และถ้าขึ้นไปชั้นสูงสุดจะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก
ก่อนจะถึงบันไดชั้นสูงสุดจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่นอนอยู่ที่ศาลา
ซึ่งเป็นที่สักการะของผู้ที่มาเที่ยววัดดอยม่วงคำ
วัดพระธาตุม่วงคำ หรือเรียกว่า
วัดดอยม่วงคำ ตำบลกล้วยแพะ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นวัดชั้นราษฎร์
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่วัด 13 ไร่
2 งาน เดิมพื้นที่วัดเป็นป่าเขา ต่อมามีการค้นพบฐานเจดีย์เก่าซึ่งสอดคล้องในตำนานหมาขนคำของคนโบราณ
พระครูรัตนโสภณ (หลวงพ่ออิ่น) อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ทะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเมืองศาสน์
ร่วมกับ หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดลำปางได้ทำการสร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2468 และได้รับความอุปถัมภ์สมณะศรัทธา เช่น พระครูสุเวทกิตติคุณ
(หลวงปู่บุญชุบ)
วัดเกาะวารลุการาม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
และชาวบ้านทั่วไป ตลอดจนถึงคณะศรัทธาอำเภอแม่ทะ และคณะศรัทธาตำบลกล้วยแพะ
และศรัทธาทั่วสารทิศจำนวนมาก โดยหลวงพ่อพระครูรัตนโสภณ
ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าอาวาสรูปแรก ตั้งแต่ พ.ศ.2468-2512 เป็นเวลา 44 ปี
จนท่านมรณภาพ จากนั้นวัดพระธาตุม่วงคำ ก็เป็นวัดร้างถึง 21 ปี
ต่อมาก็มี พระอธิการทินพันธ์ ทินฺนวโร จากวัดเมืองศาสน์ อ.เมืองลำปาง
มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.2533 จนถึงปัจจุบัน
และที่วัดพระธาตุดอยม่วงคำนี้จะจัดงานสรงน้ำพระธาตุทุกปี
ซึ่งงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุประจำปีจะตรงกับ วันแรม 8 ค่ำ
เดือน 9 เหนือ
ซึ่งมีงานสมโภชอย่างใหญ่โตและวัดพระธาตุดอยม่วงคำนี้
ก็เป็นแหล่งกำเนิดตำนานที่ลือลั่นแห่งหนึ่งของเมืองลำปาง เรียกกันว่าตำนานหมาขนคำ
หรือหมาขนสีทองคำ
สำหรับตำนานหมาขนคำที่ดอยม่วงคำนี้
เล่าว่า
นานมาแล้วมีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียมีขนสีทองจึงเรียกกันว่าหมาขนคำไว้หนึ่งตัว
และในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา
นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา
บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้
ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้
เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง
โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้า
ริมดอยวัดม่วงคำ (เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กหญิงน่ารักสองคน
ในแต่ละวันแม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย
และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่
จนกระทั่งเวลาผ่านไปลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนเติบโตเป็นหญิงสาว คนพี่ชื่อนางเจตะกา
คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความสวยงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง
เมื่อพระยาปลัมมะโฆษา
เจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา
ก็จัดขบวนวอทองไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่
ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา
ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาปลัมมะโฆษา
เจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง
ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผา
ที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนคำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้
ร้อนถึงพระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้
แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา
ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร
แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน
ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา
จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องวิ่งหนีไป
สำหรับตำนานหมาขนคำที่ดอยม่วงคำนี้ เล่าว่า นานมาแล้วมีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียมีขนสีทองจึงเรียกกันว่าหมาขนคำไว้หนึ่งตัว และในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้า ริมดอยวัดม่วงคำ (เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กหญิงน่ารักสองคน ในแต่ละวันแม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนเติบโตเป็นหญิงสาว คนพี่ชื่อนางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความสวยงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง
เมื่อพระยาปลัมมะโฆษา เจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ก็จัดขบวนวอทองไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาปลัมมะโฆษา เจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผา ที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนคำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้ ร้อนถึงพระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องวิ่งหนีไป
แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง
นางบัวตองรีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษา
ให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา
นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่าจะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง
เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย
พระอินทร์ได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง
เมื่อพระยาเจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ
พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าอีกครั้งหนึ่ง
นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาเพื่อฆ่าตัวตาย
แต่บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่อยู่ของยักษ์ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก
เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก
ยักษ์จึงหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก
นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวังมาถวายพระยาปลัมมะโฆษา
ฝ่ายนางเจตะกา
เมื่อทราบข่าวว่านางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง
นางจึงอาสาพระยาปลัมมะโฆษา จะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าบ้าง
เมื่อไปถึงผาสามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ
ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะกากินเป็นอาหาร
แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก
สถานที่แห่งนี้จึงเรียกว่าโทกหัวช้าง
ซึ่งในปัจจุบันเป็นชุมชนอยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง
และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
นายพรานคนนั้นหลังจากสิ้นชีวิตลงได้เกิดมาเป็น พระเทวทัต แม่หมาขนคำได้เกิดมาเป็น
นางปฏาจารา นางบัวตองได้เกิดมาเป็น พระนางพิมพายโสธรา นางเจตะกาได้เกิดเป็น
นางจิญจมาณวิกา ผู้ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้โดนแผ่นดินสูบลงมหานรกอเวจี
ส่วนพระยาปลัมมะโฆษานั้นได้เกิดมาเป็น พระตถาคต แห่งเราทั้งหลาย…สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าให้บรรดาพระพุทธสาวก
เทพ เทวดา มนุษย์ ที่มาเฝ้า ณ ที่นั้นได้รับทราบ…ถึงตำนานที่มาของหมาขนคำแห่งนี้
บทที่ 3
บทที่ 3